รู้หรือไม่? ภาวะผู้นำ (Leadership) คือสิ่งที่ส่งผลต่อยอดขายโดยตรง!
คำตอบของการทำธุรกิจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ความคุ้มค่าของการบริหาร หรือเทคนิคการขายอันแยบยลเพียงอย่างเดียว แต่ภาวะความเป็นผู้นำ หรือ Leadership คืออีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่มักถูกหลาย ๆ องค์กรมองข้ามไป

รู้หรือไม่? ภาวะผู้นำ (Leadership) คือสิ่งที่ส่งผลต่อยอดขายโดยตรง!
เคยสังเกตไหมว่า ทำไมบางทีมถึงสามารถปิดดีลได้อย่างต่อเนื่อง สร้างยอดขายทะลุเป้าหมายได้ทุกเดือน ตัดภาพมาที่อีกทีม แม้จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกัน บริการอย่างเดียวกัน แถมใช้เครื่องมือทางการตลาดเหมือนกันเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว แต่ทำอย่างไรยอดขายก็ไม่ขยับเสียที ติดอยู่ที่เดิมจนสมาชิกภายในทีมเริ่มถอดใจ
นั่นเป็นเพราะว่า คำตอบของการทำธุรกิจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ความคุ้มค่าของการบริหาร หรือเทคนิคการขายอันแยบยลเพียงอย่างเดียว แต่ภาวะความเป็นผู้นำ หรือ Leadership คืออีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่มักถูกหลาย ๆ องค์กรมองข้ามไป
Transformational Leadership คืออะไร?
ภาวะผู้นำแห่งยุคการเปลี่ยนแปลง หรือ Transformational Leadership คือ บุคคลที่เปรียบเสมือน “ผู้สร้างแรงบันดาลใจ” ในยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยต้องเป็นคนมีความสามารถในการรับบทบาทหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจ สร้างความเชื่อมั่น และสร้างพื้นที่ปลอดภัย พร้อมเป็นเสาหลักในการขับเคลื่อนสมาชิกภายในทีมไปสู่เป้าหมายขององค์กรท่ามกลางพายุแห่งการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคม และการเมืองอันร้อนระอุ
Transformational Leadership คือ บุคคลสำคัญที่ต้องมีความเพียบพร้อมทั้งทักษะความสามารถ วาทศิลป์เป็นเลิศ และมองโลกได้ครบถ้วนทุกมิติ เน้นการ “เปลี่ยนแปลงคน” ให้เติบโตทะลุขีดจำกัดและดึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นออกมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับโลกของธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ทุกองค์กรตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะต้องเผชิญหน้ากับอัตราการแข่งขันสูงเสียดฟ้าจนน่าหวาดกลัว องค์กรที่อยู่รอดจึงเป็นองค์กรที่พร้อมเรียนรู้ ปรับตัว และลงมือทำอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น Transformational Leadership คือศิลปะในปลดล็อกศักยภาพของมนุษย์อย่างหนึ่ง เพราะไม่ได้เป็นเพียงผู้นำที่รักษาปัจจุบัน แต่ต้องเป็น “ผู้นำผู้สร้างอนาคต” โดยเริ่มจากทำความเข้าใจความเป็นสมาชิกภายในทีมและค่อย ๆ ปลุกพลังให้แข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีและเปลี่ยนความธรรมดาให้กลายเป็นความพิเศษที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กรได้อย่างมีคุณภาพ

Leadership ดี = ยอดขายโต?
หลาย ๆ คนอาจจะไม่คาดคิดมาก่อนว่า Leadership คือ หัวใจสำคัญของการเพิ่มยอดขาย เพราะดูเผิน ๆ แล้วไม่เห็นเกี่ยวข้องกันเสียเท่าไหร่ แต่ในความเป็นจริงนั้น Leadership คือ ทักษะที่จำเป็นมากสำหรับการทำธุรกิจในยุคที่ตลาดมีการแข่งขันแสนดุเดือด เนื่องจาก “ยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง” ล้วนเป็นเป้าหมายสูงสุดของทุกองค์กร
แต่จะทำอย่างไรให้สามารถพิชิตเป้าหมายได้อย่างราบรื่น? Leadership คือคำตอบของคำถามนั้น! เพราะผู้นำที่ดีจะต้อง “เก่งงาน” และ “เก่งคน” ในเวลาเดียวกัน
1. ผู้นำดี ลูกน้องอยากทำงาน ไม่ต้องเริ่มใหม่ซ้ำ ๆ
บางองค์กรที่กำลังประสบปัญหายอดขายไม่เคยนิ่ง บางเดือนก็กราฟพุ่งขึ้นจนเป็นที่น่าพอใจ แต่บางเดือนกลับยอดขายนิ่งสนิทจนน่าใจหาย หากนำปัญหาเหล่านี้มาวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว อาจจะพบว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผลิตภัณฑ์หรือบริหาร แต่เป็นเพราะพนักงานที่เป็น Talent ขององค์กรทยอยลาออกกันอยู่ตลอดเวลา จนทำให้ต้องสอนงานพนักงานหน้าใหม่อยู่เรื่อย ๆ เหมือนต้องนับหนึ่งใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้เอาเวลาไปพัฒนากลยุทธ์การตลาดหรือเทคนิคการขายเสียที
ดังนั้น ข้อดีข้อแรกขององค์กรที่มี Leadership คือ ทำให้พนักงานภายในองค์กรอยากทำงานด้วยความเต็มใจ เนื่องจากผู้นำที่ดีต้องรับบทบาทหน้าที่ในการ “รักษาคนเก่ง” ให้อยู่กับองค์กรนาน ๆ โดยต้องเป็นทั้งผู้สร้างแรงบันดาลใจและผู้สนับสนุน ต้องสามารถดึงศักยภาพของสมาชิกภายในทีมออกมาใช้งานได้อย่างตรงจุด ส่งเสริมการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน รวมถึงซัปพอร์ตความรู้สึกทางใจให้รู้สึกปลอดภัยเมื่อต้องทำงานร่วมกันภายในองค์กร
ความรู้สึกเชิงบวกเหล่านี้ จะช่วยให้พนักงานภายในองค์กรรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองและมองเห็นโอกาสเติบโตภายในองค์กร ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พวกเขาอยากทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับองค์กร โดยเฉพาะกับวัยทำงานยุคใหม่อย่างคน Gen Y หรือวัยรุ่น Gen Z ที่ไม่ได้เลือกทำงานเพราะค่าตอบแทนเพียงอย่างเดียว แต่เลือกทำงานที่มี “คุณค่า” และมี “ความหมาย” รวมถึงสร้าง “ความภาคภูมิใจ” ในการใช้ชีวิต
ด้วยเหตุผลนี้ Leadership คือบุคคลสำคัญที่จะเปลี่ยนพนักงานธรรมดา ๆ ผู้ทำงานตามคำสั่ง ให้กลายเป็น “ผู้เข้าร่วมภารกิจ” ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คน ๆ นั้นทุ่มเททำงานจากใจและกลายเป็นกำลังหลักที่ผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างยั่งยืน
2. ผู้นำดีสามารถสร้างทีมขายได้อย่างแข็งแกร่ง
ข้อดีข้อที่สองขององค์กรที่มี Leadership คือ ทำให้สามารถสร้างทีมขายได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากทีมขายขององค์กรที่แข็งแกร่งและพร้อมลุยทุกสถานการณ์ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มาจากผู้นำที่มีคุณภาพ วิสัยทัศน์กว้างไกล และบริหารจัดการสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้เป็นอย่างดี
ผู้นำที่ดีจะไม่โฟกัสแค่เพียงตัวเลข KPI บนกระดาษ แต่จะมองการณ์ไกลไปถึงการพัฒนาศักยภาพของสมาชิกภายในทีมให้แข็งแกร่งและเติบโตอย่างมั่นคง โดยให้ความสำคัญกับการสื่อสารอย่างจริงใจ ฟีดแบ็กอย่างสร้างสรรค์ และตั้งเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้พร้อมอธิบายเส้นทางที่จะสามารถพิชิตเป้าหมายเหล่านั้นอย่างละเอียด
เมื่อองค์กรใดประสบความสำเร็จในการสร้าง Transformational Leadership คือสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ดี ๆ กำลังตามมา ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขายมีเป้าหมายชัดเจนพร้อมเข้าใจวิธีการมุ่งหน้าสู่เป้าหมายอย่างเป็นระบบ สมาชิกภายในทีมมีพลังงานบวกและช่วยเหลือกันอย่างจริงใจ หรือทีมมีความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับความท้าทาย ไม่ย่อท้อต่อคำว่า “ยอดไม่ถึง”
และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ลูกค้าขององค์กรได้รับประสบการณ์ที่ดี รู้สึกได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง และเปลี่ยนความสัมพันธ์จาก “ลูกค้าขาจร” ให้กลายเป็น “ลูกค้าประจำ”
สรุปง่าย ๆ ว่า ทีมขายที่ประสบความสำเร็จไม่ได้เกิดจากคนเก่งเพียงเท่านั้น แต่ Leadership คือกุญแจสำคัญในการก้าวเดินไปข้างหน้า ซึ่งเกิดจาก “ผู้นำ” ที่เชื่อมั่นในทีมและพร้อมพัฒนาสมาชิกภายในทีมทุกคนให้เก่งขึ้นไปพร้อม ๆ กัน
3. ผู้นำดีมีผลต่อวัฒนธรรมองค์กร
ข้อดีข้อที่สามขององค์กรที่มี Leadership คือ ทำให้สามารถสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีซึ่งมีผลต่อยอดขาย เนื่องจากวัฒนธรรมองค์กรไม่ได้เกิดจากการท่องจำวิสัยทัศน์ร้อยข้อที่เขียนติดผนังเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการกระทำอันเป็นต้นแบบของคนเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบ ความตั้งใจ ความละเอียดอ่อน ความเอาใจใส่ ไปจนถึงแพสชันในการทำงาน
ซึ่งวัฒนธรรมองค์กรที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้จริงนั่นก็คือ “ไม่ปล่อยให้ลูกค้ารอนาน” เพราะการบริการที่รวดเร็วคือการเคารพเวลาของลูกค้า ไม่ขายของแค่เพื่อปิดยอด แต่ “ช่วยลูกค้าแก้ปัญหา” เพราะเข้าใจว่า Relationship ระยะยาวดีกว่ายอดขายระยะสั้น และเต็มใจแบ่งปันเทคนิคกับสมาชิกภายในทีมคนอื่น ๆ ไม่หวงความรู้ เพื่อให้ทีมทั้งทีมเติบโต ไม่ใช่แค่ตัวเองโดดเด่น
วัฒนธรรมองค์กรที่ดีจะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความใส่ใจไม่ใช่แค่บริการจากสคริปต์ ลูกค้าจะรับรู้ได้ว่ากำลังติดต่อกับมนุษย์ที่มีหัวใจ ไม่ใช่แค่เครื่องจักรที่กำลังไล่ปิดยอด และสิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดความภักดี เกิดการซื้อซ้ำ และกลายเป็นกระแสปากต่อปากแบบ Organic ที่ไม่มีงบโฆษณาใดซื้อได้

เพิ่มยอดขายด้วย “Cost Leadership” กลยุทธ์ที่เหล่าผู้นำไม่ควรพลาด!
ในยุคที่ลูกค้าเปรียบเทียบราคาผลิตภัณฑ์หรือบริการก่อนตัดสินใจซื้อแทบทุกครั้ง ผู้นำคือบุคคลที่จะสามารถขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าด้วยกลยุทธ์อันชาญฉลาด ซึ่งกลยุทธ์ Cost Leadership คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอดในตลาดที่แข่งขันร้อนระอุ การลดต้นทุนที่มีคุณภาพเกิดจากภาวะผู้นำที่มองภาพกว้าง ใส่ใจในรายละเอียด และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ทำให้ทุกคนพร้อมจะเลือกสิ่งที่ “คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์”
Cost Leadership คือ กลยุทธ์ของผู้นำด้านต้นทุน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการใช้ประโยชน์จากการผลิตสินค้าหรือออกแบบบริการอย่างคุ้มค่าให้ได้มากที่สุดตามขอบเขตที่มีอยู่อย่างจำกัด เช่น สภาวะเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น ทรัพยากรต่าง ๆ ขององค์กร กระแสตอบรับของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เป็นต้น โดยต้องทำให้ “ต้นทุน” ของสินค้าและบริการต่ำกว่าคู่แข่งเจ้าอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้สามารถตั้งราคาขายได้ต่ำกว่า สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคา และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องรักษาคุณภาพของสินค้าหรือบริการให้ตรงตามมาตรฐานที่องค์กรกำหนดและลูกค้าคาดหวัง ซึ่ง Cost Leadership คือกลยุทธ์สำคัญที่ผู้นำทุกองค์กรควรเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ ก่อนจะพลาดโอกาสเติบโตในตลาดที่อัตราการแข่งขันสูงเสียดฟ้า
1. ปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กร “คิดก่อนใช้”
บทบาทหน้าที่ข้อแรกของ Leadership คือ ปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กร “คิดก่อนใช้” เพราะผู้นำที่เป็น Talent ขององค์กรจะไม่เน้นแค่การทำยอดเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องเป็นต้นแบบในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้สมาชิกภายในทีมรู้จักประเมินความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากรขององค์กร เช่น การเดินทาง การวางแผนออกแบบผลิตภัณฑ์ การใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นต้น
2. ส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ
บทบาทหน้าที่ข้อที่สองของ Leadership คือ ส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เนื่องจากการลดต้นทุนไม่ได้แปลว่าต้องตัดทิ้งเสมอไป แต่รวมไปถึง “การปรับเปลี่ยน” และ “การสร้างสรรค์” นวัตกรรมบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาใหม่ เพื่อประหยัดทรัพยากรในการทำงาน เช่น ปรับโฟลว์งานให้เร็วขึ้น ลดการทำงานซ้ำซ้อน เลือกใช้เทคโนโลยีมาช่วยแทนแรงงาน เป็นต้น Cost Leadership คือ บทบาทหน้าที่ที่ผู้นำที่ดีต้องเปิดกว้างและสนับสนุนให้สมาชิกภายในทีมกล้าคิดและนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ
3. สื่อสารเป้าหมายให้สมาชิกภายในทีมเข้าใจ
บทบาทหน้าที่ข้อที่สุดท้ายของ Leadership คือ สื่อสารเป้าหมายให้สมาชิกภายในทีมเข้าใจ เนื่องจากสาเหตุของหลาย ๆ องค์กรที่ล้มเหลวในการทำ Cost Leadership คือ พนักงานภายในองค์กรยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริง ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องลดค่าใช้จ่าย” และมองว่าผู้นำหรือองค์กรแค่ “งก” เท่านั้น
ดังนั้น Leadership คือบทบาทหน้าที่ของผู้นำที่ดีที่จะต้องสื่อสารให้สมาชิกภายในองค์กรทุกคนเข้าใจอย่างละเอียดว่าทำไมถึงต้องลดต้นทุนและเมื่อลดต้นทุนแล้วจะเกิดผลดีอย่างไร พนักงานภายในองค์กรจะได้ประโยชน์อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดและขุ่นเคืองใจในการทำงาน เพราะจะทำไปสู่การทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
ก่อนจะมองหาวิธีการเพิ่มยอดขายด้วยการลงทุนกับงบประมาณการตลาดก้อนโต ลองหันกลับมาพิจารณาผู้นำภายในองค์กรของคุณก่อนว่าเป็นผู้นำแบบไหน ผู้นำที่เอาแต่ออกคำสั่งเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว หรือผู้นำที่เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจ พร้อมผลักดันศักยภาพของสมาชิกภายในทีมให้โดดเด่น กล้าคิดกล้าทำ พร้อมสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ด้วยใจจริงโดยไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่งไปวัน ๆ
จำไว้ว่า Leadership คือ รากฐานสำคัญของการทำงาน ทั้งสามารถสร้างผลงานที่สมบูรณ์แบบและสร้างบุคลากรคุณภาพให้กับองค์กร เพราะยอดขายที่ยั่งยืน ไม่ได้เกิดจากคำสั่งอันเด็ดขาด แต่เกิดจากความเชื่อใจและความทุ่มเทของสมาชิกภายในทีมที่มอบให้ผู้นำและองค์กร
อ้างอิงจาก
กลยุทธ์ผู้นำด้านต้นทุน (Cost Leadership Strategy), popticles
หลักสูตรแนะนำ

People Manager in Action
ทักษะการบริหารคนเป็นหัวใจของการเป็นผู้นำที่ดี
หลักสูตรนี้จะเน้นไปที่การพัฒนาภาวะผู้นำและอิทธิพลทางสังคม พร้อมฝึกทักษะที่ช่วยให้ผู้จัดการสามารถสร้างแรงจูงใจให้ทีมได้ การที่องค์กรจะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนในทีม ”ผู้นำทีม” จึงต้องมีทักษะการบริหารงาน (Management Skills) และทักษะ การจัดการทรัพยากรคน (People Skills) เพื่อสร้างทีมที่แข็งแรง และผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
หัวหน้าที่บริหารคนเก่ง ส่งผลดีต่อทีมอย่างไร?
- ทีมพร้อมพุ่งชนทุกความท้าทายทีมไว้ใจกันและกัน
- สร้างยูนิตการทำงานที่แข็งแกร่งทีมทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ทุกคนรู้จุดแข็งของตัวเอง และทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ
- บรรยากาศในการทำงานน่ารื่นรมย์ คนในทีมแฮปปี้
คอร์สนี้เหมาะกับ
Senior หรือ Manager มือใหม่ที่ต้องการบูสต์ความสามารถในการบริหารลูกน้องและทีมงาน ควบคู่ไปกับการบริหารผลงานของทีมให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด
รายละเอียดหลักสูตรเพิ่มเติม > อ่านที่นี่
ติดต่อปรึกษา BASE Playhouse ฟรี! โทร 094-191-4626 หรือกรอกข้อมูลเพื่อติดต่อกลับ ที่นี่