เช็กด่วนก่อนสายเกินแก้! คุณกำลังเป็นหัวหน้างาน Toxic อยู่หรือเปล่า?
บางครั้งหัวหน้างาน Toxic ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นหัวหน้างานที่นิสัยเลวร้ายเสมอไป แต่อาจจะเป็นแค่หัวหน้างานที่ขาดทักษะการสื่อสาร (Communication Skills) ขาดทักษะการบริหารจัดการ (Management Skills) หรือยึดถือความคิดเห็นของตัวเองเป็นศูนย์กลางจนละเลยความรู้สึกของเพื่อนร่วมงานรอบ ๆ ตัว ซึ่งนับเป็นการกระทำที่มากเพียงพอต่อการทำลายกำลังใจในการทำงานของสมาชิกภายในทีม

เช็กด่วนก่อนสายเกินแก้! คุณกำลังเป็นหัวหน้างาน Toxic อยู่หรือเปล่า?
เคยรู้สึกไหมว่า ทำไมบรรยากาศการทำงานร่วมกันภายในทีมเริ่มตึงเครียดจนแผ่รังสีความมาคุไปทั่วห้อง สมาชิกภายในทีมที่เคยคุยเล่นกันสนุกสนานก็เริ่มห่างเหินจนเงียบผิดปกติ หรือหนักไปกว่านั้นพนักงานค่อย ๆ เริ่มยื่นใบลาออกโดยบอกเหตุผลหรือไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?
หัวหน้างานหลายคนที่กำลังพบเจอกับปัญหาเหล่านี้ เชื่อได้เลยว่าต้องโทษปัจจัยภายนอกก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในทีมขาดความกระตือรือร้น เนื้อหางานที่ได้รับมอบหมายซ้ำ ๆ เดิม ๆ จนหมดไฟในการทำงาน หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรมองค์กรไม่เอื้ออำนวย แต่สิ่งหนึ่งที่หัวหน้างานมักจะมองข้ามไปก็คือ “พฤติกรรมของตัวเอง” ที่อาจจะเป็นต้นตอของปัญหาโดยไม่รู้ตัว
บางครั้งหัวหน้างาน Toxic ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นหัวหน้างานที่นิสัยเลวร้ายเสมอไป แต่อาจจะเป็นแค่หัวหน้างานที่ขาดทักษะการสื่อสาร (Communication Skills) ขาดทักษะการบริหารจัดการ (Management Skills) หรือยึดถือความคิดเห็นของตัวเองเป็นศูนย์กลางจนละเลยความรู้สึกของเพื่อนร่วมงานรอบ ๆ ตัว ซึ่งนับเป็นการกระทำที่มากเพียงพอต่อการทำลายกำลังใจในการทำงานของสมาชิกภายในทีม
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ก็อย่าเพิ่งเข้าข้างตัวเองหรือมั่นใจเกินไปว่า “เราไม่ใช่หัวหน้างานแบบนั้นเสียหน่อย” เพราะในบทความนี้ BASE Playhouse จะพาคุณมาสำรวจพฤติกรรมของตัวเองว่าคุณเป็นหัวหน้างานแบบไหน ระหว่าง “หัวหน้างานที่ดี” จนลูกน้องกดเลิฟรัว ๆ หรือเป็น “หัวหน้างาน Toxic” ฝันร้ายที่ทำให้ลูกน้องไม่อยากลืมตาตื่นขึ้นมาทำงาน พร้อมทั้งบอกเคล็ดลับการเป็นหัวหน้างานยุคใหม่ รับรองว่าปกครองลูกน้อง Gen Z ได้อยู่หมัดอย่างแน่นอน

5 สัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเป็นหัวหน้างาน Toxic!
1. เอะอะก็สั่ง สั่ง สั่ง แต่ไม่รับฟังความเห็นของลูกน้อง
สัญญาณเตือนหัวหน้างาน Toxic ข้อแรก จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจาก หัวหน้างานที่เอะอะก็สั่ง สั่ง สั่ง แบบไม่ลืมหูลืมตา เพราะเข้าใจผิด (และคิดไปเอง) ว่า การเป็นหัวหน้างานนั้นมีอำนาจสูงที่สุด ไม่ว่าใครก็ต้องรับฟังคำสั่งและปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง! ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ แถมเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งภายในทีมอีกด้วย
หัวหน้างานที่เอาแต่ออกคำสั่งโดยไม่รับฟังความคิดเห็น ไม่สนใจความรู้สึก และไม่เปิดโอกาสให้ลูกน้องได้นำเสนอไอเดียของตัวเอง จะทำให้ลูกน้องขาดความกล้าในการแสดงความคิดเห็น ไม่อยากสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ สูญเสียความรู้สึกในการเป็นส่วนหนึ่งของทีม จนในที่สุดก็เริ่มทำงานด้วยความคิดว่า “ทำให้มันเสร็จ ๆ ไป”
2. ฟีดแบ็กด้วย “คำตำหนิ” มากกว่าคำชื่นชม
แน่นอนว่าใคร ๆ ก็ได้ได้รับคำชื่นชมมากกว่าคำตำหนิติเตียน แต่ในขณะเดียวกัน หัวหน้างานหลายคนกลับมองว่าการตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรง เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดที่ตรงจุดและได้ผลรวดเร็วที่สุด แต่หารู้ไม่ว่า ถ้อยคำตำหนิเพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างบาดแผลลึกให้กับจิตใจของลูกน้องได้เช่นกัน หากไม่รู้จักวิธีการสื่อสารอย่างถูกวิธี
ดังนั้น สัญญาณเตือนหัวหน้างาน Toxic ข้อที่สองก็คือ หัวหน้างานที่ฟีดแบ็กด้วยคำตำหนิมากกว่าคำชื่นชม หัวหน้างานที่เห็นอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ตำหนิลูกน้องทันทีโดยใช้อารมณ์เป็นหลัก แถมเมื่อทำผลงานออกมาได้ดีก็ไร้คำชื่นชมออกมาจากปาก ราวกับสิ่งที่ลูกน้องพยายามทำมาทั้งหมดเป็นเพียงสายลมผ่านพัดไป ไม่เพียงแต่จะทำให้ลูกน้องหมดกำลังใจในการทำงานเท่านั้น แต่ยังทำให้ลูกน้องเอาแต่คิดซ้ำ ๆ ว่าพยายามทำให้ดีแค่ไหนก็ดีไม่พอ จนเกิดความเครียดและรู้สึกหมดคุณค่าในตัวเองในที่สุด
3. ไม่ยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง
สัญญาณเตือนหัวหน้างาน Toxic ข้อที่สาม คือ หัวหน้างานที่ไม่ยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง เนื่องจากหัวหน้างานหลาย ๆ คนเมื่อมีอำนาจอยู่ในมือก็เริ่มมีความคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดดีที่สุด สิ่งที่ตัวเองทำถูกที่สุด สิ่งที่ตัวเองตัดสินใจเหมาะสมที่สุด หรือพูดง่าย ๆ ว่า ยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ทำให้ลูกน้องภายในทีมเริ่มเอือมระอาไปตาม ๆ กัน
ซึ่งแท้จริงแล้ว สิ่งที่จะแยกหัวหน้างานที่ดีออกจากหัวหน้างาน Toxic ได้ก็คือ การกล้ายอมรับความผิดพลาดของตัวเอง เพราะทุกคนคือมนุษย์ อย่างไรเสียก็ต้องเคยผิดพลาดมาด้วยกันทั้งนั้น
หัวหน้างาน Toxic มักจะปฏิเสธความผิดพลาดของตัวเองด้วยการโยนความผิดทั้งหมดให้สมาชิกภายในทีม หรือหาเหตุผลสารพัดอย่างมาเป็นข้ออ้างเพื่อแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่น ๆ หนักเข้าก็ทำเนียนเงียบ ๆ ไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้อาจจะฟังดูเหมือนเกราะกำบังที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงนั้นกลับเป็นมีดเล่มโตที่คอยเชือดเฉือนความเคารพ ความศรัทธา และความไว้วางใจของสมาชิกภายในทีมให้แหลกสลายไม่มีชิ้นดี
4. เลือกที่รักมักที่ชัง
ใคร ๆ ก็รู้ว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม แต่หัวหน้างานที่เลือกปฏิบัติ แถมแสดงออก (ชัดมากกก) ว่ารักลูกน้องไม่เท่ากันแบบนี้ ทางเราต้องขอบอกว่าพักก่อน! เกริ่นมากขนาดนี้แน่นอนว่า สัญญาณเตือนหัวหน้างาน Toxic ข้อที่สี่ จะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจาก หัวหน้างานที่เลือกที่รักมักที่ชัง
ในโลกของการทำงาน “ความยุติธรรมของหัวหน้างาน” เป็นสิ่งที่คนเป็นลูกน้องคาดหวังมากที่สุด และถ้าคุณกำลังเป็นหัวหน้างานที่ชอบแสดงออกว่าคนไหนลูกรัก คนไหนลูกชัง แถมยังดูแลลูกน้องอย่างไม่เท่าเทียม ขอให้หยุดพฤติกรรมแบบนั้นซะ! เพราะเป็นชนวนของความขัดแย้งภายในทีมอย่างรุนแรง
หัวหน้าที่มีพฤติกรรมเลือกปฏิบัติเลือกปฏิบัติ ไม่ได้ทำให้ใครบางคนรู้สึกพิเศษและได้รับพริวิเลจ (Privilege) เพียงเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ใครอีกหลาย ๆ คนรู้สึกถูกด้อยค่าและไม่เป็นที่ต้องการไปพร้อมกัน
5. ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ
สัญญาณเตือนหัวหน้างาน Toxic ข้อสุดท้าย คือ หัวหน้างานที่ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ เพราะทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรขาดไม่ได้ การเป็นหัวหน้างานที่ดีจึงจำเป็นต้องเข้าใจจิตใจของลูกน้องภายใต้การปกครองให้ได้มากที่สุด
การเป็นหัวหน้างาน Toxic ที่เอาแต่สั่งงาน ตามงาน ตำหนิงาน โดยไม่สนใจอารมณ์ ไม่สนใจความรู้สึก ไม่ใส่ใจชีวิต ไม่ถามเรื่องสุขภาพกายสุขภาพจิตสักคำ มองลูกน้องเป็นเพียง “เครื่องมือ” ในการทำงาน ไม่ว่าลูกน้องจะมีวันที่เหนื่อยล้า ปัญหาส่วนตัว หรือภาระหน้าที่อะไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจ หากคุณกำลังเป็นหัวหน้างานแบบนี้ รับรองได้ว่าลูกน้องคนเก่งในทีมจะต้องลาออกไปหาพื้นที่ปลอดภัยที่เข้าใจและใส่มากกว่านี้แน่นอน
ความเห็นอกเห็นใจไม่ใช่การเป็นคนจิตใจอ่อนแอ แต่เป็นการแสดงให้สมาชิกภายในทีมเห็นว่า คุณเป็นหัวหน้างานที่เอาใจใส่และมีเมตตาสูง เพราะความเห็นอกเห็นใจเป็นพลังวิเศษในโลกแห่งความจริงที่ช่วยสร้างความไว้วางใจและเชื่อมโยงหัวใจของมนุษย์ให้ใกล้กันได้มากกว่าสิ่งใด

ปรับตัวอย่างไรให้เป็นหัวหน้างานที่โดนใจวัยรุ่น Gen Z
1. ฟีดแบ็กอย่างมีคุณภาพ เน้นสร้างพลังงานเชิงบวก
เคล็ดลับการเป็นหัวหน้างานที่ดีข้อแรก คือ การฟีดแบ็กอย่างมีคุณภาพ เน้นการสร้างพลังงานเชิงบวก เนื่องจากวัยรุ่น Gen Z เป็นกลุ่มที่มีความมั่นใจในตัวเองและตรงไปตรงมาสูงมากกก ทำให้การฟีดแบ็กอย่างมีคุณภาพและเรียลไทม์เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากจะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของบุคคลนั้น ๆ ได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว
ซึ่งข้อควรระวังของการฟีดแบ็ก คือ การเลือกใช้คำพูดให้เหมาะสม คำพูดที่จะใช้ฟีดแบ็กผลงานนั้นควรเป็นเหตุเป็นผล ปราศจากอารมณ์และอคติ สามารถชี้แจงข้อผิดพลาดได้อย่างชัดเจน แต่ในขณะเดียวกัน ต้องเป็นคำพูดที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดให้แจ่มชัดขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น หลีกเลี่ยงการฟีดแบ็กด้วยคำพูดกว้าง ๆ อย่าง “ตรงนี้ยังไม่โอเคเลย” หรือ “พี่ว่ามันดีได้อีก” แต่ให้ฟีดแบ็กอย่างตรงไปตรงมากและชัดเจน เช่น “ตรงส่วนสรุปยังไม่ชัดเจน พี่อยากให้น้องเพิ่มจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ให้มากกว่านี้”
2. เมื่อความเข้มงวดไม่ตอบโจทย์ “ยืดหยุ่น” บ้างก็ดีนะ
เคล็ดลับการเป็นหัวหน้างานที่ดีข้อที่สอง คือ การใช้ความยืดหยุ่นบริหารจัดการลูกน้อง เนื่องจากเทรนด์ฮิตในการทำงานของวัยรุ่น Gen Z จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก “Work Life Balance” รวมถึงมีแนวโน้มที่จะทำงานได้ดีขึ้นมากเมื่ออยู่ในสภาวะที่เป็นอิสระ ไม่ถูกกักขังอยู่ในกรอบหรือกฎเกณฑ์
ตัวอย่างเช่น หากลักษณะของงานไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศตลอดเวลา ลองยืดหยุ่นให้สมาชิกภายในทีมได้เลือกทำงานแบบ Remote Working บ้าง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจสำหรับหาไอเดียใหม่ ๆ ในการทำงาน
3. ลองเป็น Mentor มากกว่า Boss
เคล็ดลับการเป็นหัวหน้างานที่ดีข้อที่สาม คือ การลองเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็น Mentor มากกว่า Boss เนื่องจากการทำงานในยุคปัจจุบัน องค์กรไม่ได้ต้องการเพียงการทำงานให้เสร็จสิ้น แต่ยังต้องการพนักงานที่มีศักยภาพเต็มเปี่ยม ในฐานะหัวหน้างาน แน่นอนว่าต้องรับผิดชอบหน้าที่ในการพัฒนาสมาชิกภายในทีมให้เติบโตไปพร้อม ๆ กัน จึงต้องพักความเป็น Boss ที่คอยควบคุมและสั่งการ หันมาเป็น Mentor คอยให้คำแนะนำเพื่อสร้างทีมที่แข็งแกร่งและพร้อมเผชิญหน้ากับความท้าทายทุกสถานการณ์
Mentor ที่ดี จะต้องไม่หลงระเริงกับอำนาจในการปกครอง แต่จะนำความรู้และประสบการณ์ผสมผสานกับความเข้าใจมาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการสมาชิกภายในทีมให้เติบโตไปเป็น Talent ขององค์กร
ตัวอย่างเช่น ลองตั้งคำถามแทนคำสั่ง เช่น “ถ้าคุณได้รับผิดชอบหน้าที่เป็นเจ้าของ Project นี้ คุณจะเริ่มทำงานจากตรงไหนก่อน”
การเป็นหัวหน้างาน Toxic ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนไม่ดีเสมอไป แต่บางครั้งอาจจะเป็นลักษณะนิสัยของการทำงานได้ค่อย ๆ ซึมซับมาจากวัฒนธรรมองค์กรหรือหัวหน้าคนอื่น ๆ ที่คุณเคยทำงานด้วย จนหล่อหลอมให้กลายเป็นคุณ ณ ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม การตระหนักรู้และการกล้ายอมรับว่าตัวเองยังมีข้อบกพร่องในการเป็นหัวหน้างานและพร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น ย่อมเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและจะช่วยยกระดับศักยภาพของคนจากหัวหน้างานธรรมดาให้กลายเป็น “สุดยอดผู้นำขององค์กร”
อ้างอิงจาก
รับมือหัวหน้า Toxic อย่างไรให้ทีมไม่พัง เพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืน, disrupt
หลักสูตรแนะนำ

People Manager in Action
ทักษะการบริหารคนเป็นหัวใจของการเป็นผู้นำที่ดี
หลักสูตรนี้จะเน้นไปที่การพัฒนาภาวะผู้นำและอิทธิพลทางสังคม พร้อมฝึกทักษะที่ช่วยให้ผู้จัดการสามารถสร้างแรงจูงใจให้ทีมได้ การที่องค์กรจะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนในทีม ”ผู้นำทีม” จึงต้องมีทักษะการบริหารงาน (Management Skills) และทักษะ การจัดการทรัพยากรคน (People Skills) เพื่อสร้างทีมที่แข็งแรง และผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
หัวหน้าที่บริหารคนเก่ง ส่งผลดีต่อทีมอย่างไร?
- ทีมพร้อมพุ่งชนทุกความท้าทายทีมไว้ใจกันและกัน
- สร้างยูนิตการทำงานที่แข็งแกร่งทีมทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ทุกคนรู้จุดแข็งของตัวเอง และทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ
- บรรยากาศในการทำงานน่ารื่นรมย์ คนในทีมแฮปปี้
คอร์สนี้เหมาะกับ
Senior หรือ Manager มือใหม่ที่ต้องการบูสต์ความสามารถในการบริหารลูกน้องและทีมงาน ควบคู่ไปกับการบริหารผลงานของทีมให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด
รายละเอียดหลักสูตรเพิ่มเติม > อ่านที่นี่
ติดต่อปรึกษา BASE Playhouse ฟรี! โทร 094-191-4626 หรือกรอกข้อมูลเพื่อติดต่อกลับ ที่นี่